วิธีพิสูจน์สูตรต่างๆในเรื่องมูลค่าเงินตามเวลา (TVM) ตอนที่ 3 การประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ (Securities Valuation)
ตอนที่ 3:
การประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ (Securities Valuation)
ในบทความตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ได้อธิบายที่มาของสูตรที่ใช้สำหรับการเรียนเรื่องมูลค่าเงินตามเวลา (Time Value of Money: TVM) ซึ่งเป็นเนื้อหาพื้นฐานที่ต้องเรียนสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการเงินและการลงทุน และถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการเงินสายวิเคราะห์หลักทรัพย์และสายประเมินมูลค่า (Pricing) หรือกล่าวได้ว่า "สำหรับสินทรัพย์ใดๆก็ตาม ถ้าหากเราทราบลักษณะของกระแสเงินสดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตของสินทรัพย์นั้น เราย่อมสามารถประเมินหามูลค่า (ราคาที่เหมาะสม) ของสินทรัพย์นั้นได้" ดังนั้นในบทความตอนนี้เราจะมาหาที่มาของสูตรพื้นฐานสำหรับการประเมินราคาตราสารหนี้ หุ้นสามัญ และหุุ้นบุริมสิทธิ
ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า เครื่องมือที่สำคัญอันหนึ่งของการศึกษาเรื่องมูลค่าเงินตามเวลาและการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์คือ เส้นเวลา (Time line) ซึ่งเป็นภาษาสากล เราสามารถแปลงการอธิบายลักษณะการจ่ายผลตอบแทนของหลักทรัพย์ด้วยข้อความยาวๆ ได้ด้วยภาพ Time line
3.1 การประเมินมูลค่าตราสารหนี้ (Fixed-income securities valuation)
Time Line ของตราสารหนี้
คำในภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกตราสารหนี้มีหลายตัว แต่ในการประเมินตราสารหนี้ในหัวข้อนี้เราจะหมายถึงตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่ (การที่ตราสารหนี้บางประเภทไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย ก็ถือว่าจ่ายแบบคงที่เช่นกัน คือ จ่ายคงที่ 0 บาท) จึงใช้คำว่า Fixed-income securities ลักษณะการจ่ายดอกเบี้ย (หรือ Coupon payment แต่ในที่นี้จะใช้คำว่า PMT แทน) และการจ่ายคืนเงินต้น (Par) แสดงได้ดังรูปที่ 3.1
จะพบว่าลักษณะ time line คล้ายกับตอนที่ 2 ของบทความมูลค่าเงินตามเวลา หัวข้อเงินรายงวดที่คิดจากมูลค่าปัจจุบัน (PV) ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ที่จริงแล้วมูลค่า (ราคาที่เหมาะสม) ของตราสารหนี้ (หรือ P ตามรูป) ก็คือมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตนั่นเอง และสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้
P=PMT(1+I)+PMT(1+I)2+PMT(1+I)3+...+PMT+Par(1+I)N
P=N∑i=1PMT(1+I)i+Par(1+I)N ...(1)
สูตรประเมินราคา ตราสารหนี้
จากสมการที่ (1) ราคาของตราสารหนี้ประกอบไปด้วย มูลค่าปัจจุบันของดอกเบี้ย (เทอมแรก) และมูลค่าปัจจุบันของราคาที่ตราไว้ (เทอมที่สอง) นั่นเอง และเนื่องจากลักษณะของเทอมแรกในสมการเป็นอนุกรมเรขาคณิตแบบจำกัด ซึ่งเหมือนกับเรื่องมูลค่าเงินตามเวลาในตอนที่ 2 และมีเทอมที่สองเพิ่มขึ้นมา ดังนั้นสูตรสำหรับหาราคาตราสารหนี้ คือ
P=PMT[1I−1I(1+I)N]+Par(1+I)N
3.2 การประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ (Common stocks valuation)
Time Line ของตราสารทุน
ถ้าหากกำหนดให้ปัจจุบัน (ปีที่ผ่านมา) หุ้นสามัญจ่ายเงินปันผลเท่ากับ D0 บาท และคาดว่าในปีต่อๆไปบริษัทจะจ่ายเงินปันผลหุ้นสามัญเพิ่มขึ้นปีละ g % กำหนดให้อัตราคิดลด (Discount rate) เท่ากับต้นทุนของหุ้นสามัญ (ke %) ดังนั้นลักษณะของกระแสเงินสดจากการลงทุนในหุ้นสามัญเขียนใน time line ได้ดังรูปที่ 3.2
แบบจำลองหุ้นสามัญตามรูปที่ 3.2 มีชื่อเรียกว่า Gordon Growth Model (จัดเป็นแบบจำลองหนึ่งของ Dividend discount model หรือ DDM) ซึ่งมีสมมุติฐานหลายข้อที่สังเกตเห็นได้จาก time line ข้อแรกคือ เงินปันผลมีการเติบโตแบบคงที่ตลอดอายุของตราสาร ข้อต่อมาคืออายุของตราสารไม่จำกัด เราสามารถเขียนสมการของราคาหุ้นสามัญได้ คือ
P=D0(1+g)1+ke+D0(1+g)2(1+ke)2+D0(1+g)3(1+ke)3+... ...(2)
สูตรประเมินราคา หุ้นสามัญ (Gordon growth model: คิดลดเงินปันผล ที่โตแบบคงที่)
จากสมการที่ (2) พบว่าเป็นลักษณะของอนุกรมเรขาคณิตแบบอนันต์ ซึ่งเราสามารถประยุกต์สูตรอนุกรมอนันต์ S∞=a11−r กับสมการ (2) ได้ผลดังนี้
P=D0(1+g)1+ke⋅1(1−1+g1+ke)=D0(1+g)1+ke⋅1+ke1+ke−1−g
∴P=D0(1+g)ke−g ...(3)
3.3 การประเมินมูลค่าหุ้นบุริมสิทธิ (Preferred stocks valuation)
ด้วยลักษณะสำคัญของหุ้นบุริมสิทธิ คือ เป็นตราสารทุนที่จ่ายเงินปันผลแบบคงที่ เราจึงสามารถประยุกต์ใช้สูตรในสมการที่ (3) เพื่อหาราคาหุ้นบุริมสิทธิได้
สูตรประเมินราคา หุ้นบุริมสิทธิ
ประยุกต์จาก Gordon growth model
กำหนดให้เงินปันผลหุ้นบุริมสิทธิ เท่ากับ Dp ซึ่งคงที่ตลอดอายุตราสาร (ตลอดไป) ดังนั้นเราจึงสามารถประยุกต์แบบจำลอง Gordon growth ได้ โดยกำหนดให้อัตราการเติบโตหรือ g=0 และอัตราคิดลด (Discount rate) เท่ากับต้นทุนของหุ้นบุริมสิทธิ (kp %) ดังนั้น เมื่อประยุกต์กับสมการที่ (3) ราคาหุ้นบุริมสิทธิเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้
P=Dpkp
ผู้เขียนจัดทำบทความนี้ขึ้นมาเพื่อให้นักศึกษาสาขาการเงิน และการลงทุน ได้ค้นคว้าต่อ เนื่องจากเนื้อหาวิชา “การเงินธุรกิจ” หรือ “การจัดการการเงิน” หรือ “การบริหารการเงิน” มีเนื้อหามากจนไม่มีเวลาได้อธิบายเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหรือวิธีพิสูจน์สูตรบางสูตรในห้องเรียนได้ ในบทความถัดๆไป ผู้เขียนจะพยายามพิสูจน์หาที่มาของสูตรพื้นฐานอื่นๆของวิชาทางการเงินอีก ถ้ามีข้อเสนอแนะ เห็นด้วยหรือไม่ ช่วยใส่ในช่องแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น