วิธีพิสูจน์สูตรต่างๆในเรื่องมูลค่าเงินตามเวลา (Time Value of Money: TVM) ตอนที่ 2 เงินรายงวด (Annuity)

ตอนที่ 2:

กรณีจ่ายกระแสเงินสดรายงวด (Annuity) 


        ในการเตรียมสอบเรื่อง “มูลค่าเงินตามเวลา” สำหรับวิชาทางการเงิน และการลงทุน นักศึกษาอาจต้องท่องสูตรสำหรับการคำนวณหาค่าตัวแปรต่างๆตามที่โจทย์กำหนด ผู้เขียนต้องการอธิบายที่มาของสูตรต่างๆ เพื่อให้นักศึกษาท่องสูตรให้น้อยที่สุดและสามารถขยายสูตรต่อไปในห้องสอบได้ ในบทความตอนที่แล้ว ได้อธิบายสูตรสำหรับกระแสเงินสดเพียงงวดเดียว (Single Cashflow) ส่วนในบทความตอนที่ 2 นี้จะแสดงสูตรสำหรับเงินรายงวดหรือ Annuity
        ผู้เขียนเลือกใช้คำว่า "งวด" แทนคำว่า "ปี" เพราะตราสารทางการเงินส่วนใหญ่จ่ายผลตอบแทน (เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล เป็นต้น) มากกว่าปีละหนึ่งครั้ง และต้องการให้ใช้คำกลางๆเพื่อให้นักศึกษาระลึกไว้เสมอว่าความถี่ในการจ่ายผลตอบแทนมีผลต่อการคำนวณ
        สำหรับสูตรในการคำนวณเรื่องเงินค่างวดนี้ จะแบ่งเป็นสองส่วน คือ 2.1 สูตรที่คิดจากมูลค่าอนาคตหรือ FV และ 2.2 สูตรที่คิดจากมูลค่าปัจจุบันหรือ PV แต่ในความเป็นจริงเราอาจเจอโจทย์ที่มีทั้ง FV และ PV ในข้อเดียวกัน นักศึกษาต้องแบ่งการคิดออกเป็นสองขั้นตอนขึ้นกับลักษณะของโจทย์ และเนื่องจากการจ่ายเงินค่างวดอาจเป็นการจ่ายปลายงวดหรือต้นงวดก็ได้ ผู้เขียนก็ได้แยกเป็นแต่ละกรณีไว้ให้


2.1 คิดจากมูลค่าอนาคต (FVN)



2.1.1 กรณีปลายงวด (Ordinary Annuity)


มูลค่าอนาคตในปีที่ N เกิดจากผลรวมของเงินค่างวดในแต่ละงวด (PMT) โดยคิดมูลค่าของเงินตามเวลาตั้งแต่งวดแรกจนถึงงวดสุดท้าย สำหรับกรณีเป็นเงินค่างวดที่จ่ายปลายงวด (ซึ่งเป็นกรณีทั่วไปจึงมักเรียกว่า Ordinary Annuity) เป็นดังรูปที่ 2.1.1
เงินรายงวด ordinary annuity
ดังนั้น มูลค่าอนาคตในปีที่ N หรือ FVN คือ

FVN=PMT(1+I)N1+PMT(1+I)N2+...+PMT(1+I)+PMT

ซึ่งเป็นอนุกรมเรขาคณิตแบบจำกัด เราจึงสามารถประยุกต์ใช้สูตร SN=a1(rN1)r1 ได้เลย นั่นคือ

FVN=N1i=0PMT(1+I)i=PMT((1+I)N1)((1+I)1)
 FVN=PMT((1+I)N1I)               ...(1)

จากสูตรในสมการที่ (1) นักศึกษาสามารถแก้สมการเพื่อหาเงินค่างวด  (PMT) และจำนวนงวด  (N) ได้ดังนี้

PMT=(FVN)(I)(1+I)N1,               ...(2)

N=ln[(FVN)(I)PMT+1]ln(1+I).                ...(3)


2.1.2 กรณีปลายงวด (Ordinary Annuity) ที่มีการทบต้นทบดอกมากกว่าปีละหนึ่งครั้ง (m>1)


        กรณีที่โจทย์กำหนดอัตราคิดลด (INOM) ที่มีการทบต้นทบดอกปีละ m ครั้ง เราสามารถประยุกต์สูตรในสมการที่ (1)-(3) ได้ดังนี้ (ถ้านักศึกษาเข้าใจเนื้อหาในตอนที่ 1 แล้วก็น่าจะเดาฟอร์มของสูตรในข้อนี้ออก)

FVN=PMT((1+INOMm)m×N1INOMm),

PMT=(FVN)(INOMm)(1+INOMm)m×N1,

N=(ln[(FVN)(INOMm)PMT+1]ln(1+INOMm))×1m.


2.1.3 กรณีต้นงวด (Annuity Due)


สำหรับกรณีที่เงินรายงวดเป็นการจ่ายต้นงวด (เรียกว่า Annuity Due) มูลค่าอนาคตในปีที่ N เกิดจากผลรวมของเงินค่างวดในแต่ละงวด (PMT) โดยคิดมูลค่าของเงินตามเวลาตั้งแต่งวดแรกจนถึงงวดสุดท้าย เป็นดังรูปที่ 2.1.2 (เปรียบเทียบกับรูปที่ 2.1.1) วิธีคิดก็จะคล้ายๆกับสูตรในสมการที่ (1) นั่นเอง

annuity due

FVN=PMT(1+I)N+PMT(1+I)N1+...+PMT(1+I)

 FVN=N1i=1PMT(1+I)i=PMT(1+I)((1+I)N1)((1+I)1)

 FVN=PMT((1+I)N1I)(1+I)

ดังนั้นสำหรับ 0<I<,  มูลค่าอนาคตของเงินรายงวดแบบต้นงวดจะมากกว่าแบบปลายงวดเท่ากับ 1+I  เท่าเสมอ 


2.2 คิดจากมูลค่าปัจจุบัน (PV)


2.2.1 กรณีปลายงวด (Ordinary Annuity)


        มูลค่าปัจจุบัน เกิดจากผลรวมของเงินค่างวดในแต่ละงวด (PMT) โดยคิดลดมูลค่าของเงินตามเวลาจากงวดสุดท้ายจนถึงงวดแรก สำหรับกรณีเป็นเงินค่างวดที่จ่ายปลายงวด (Ordinary Annuity) เป็นดังรูปที่ 2.2.1
เงินรายงวด มูลค่าปัจจุบัน

 จากรูป

PV=PMT(1+I)+PMT(1+I)2+PMT(1+I)3+...+PMT(1+I)N

ประยุกต์สูตรอนุกรมเรขาคณิต ดังนั้น

PV=PMT(1+I)(1(1+I)N1)(1(1+I)1)=PMT(1+I)(1(1+I)N(1+I)N)(I(1+I))=PMT(1+I)((1+I)(1+I)N+1I(1+I)N)

PV=PMT(1(1+I)NI(1+I)N)

PV=PMT[1I1I(1+I)N]                ...(4)

และเราสามารถแก้สมการที่ (4) เพื่อหาเงินรายงวด (PMT) และจำนวนงวด (N) ได้ดังนี้

PMT=PV[1I1I(1+I)N],

N=ln(PMT)ln[PMT(PV)(I)]ln(1+I).


2.2.2 กรณีปลายงวด (Ordinary Annuity) ที่มีการทบต้นทบดอกมากกว่าปีละหนึ่งครั้ง (m>1)


        กรณีที่โจทย์กำหนดอัตราคิดลด (INOM) ที่มีการทบต้นทบดอกปีละ m ครั้ง เราสามารถประยุกต์สูตรได้ดังนี้ 

PV=PMT[mINOMmINOM(1+INOMm)m×N],

PMT=PV[mINOMmINOM(1+INOMm)m×N],

N=(ln(PMT)ln[PMT(PV)(INOMm)]ln(1+INOMm))×1m.


2.2.3 กรณีต้นงวด (Annuity Due)


สำหรับกรณีที่เงินรายงวดเป็นการจ่ายต้นงวด (Annuity Due) มูลค่าปัจจุบันเป็นผลรวมของเงินรายงวดตามรูปที่ 2.2.2 (เปรียบเทียบกับรูปที่ 2.2.1) 
annuity due มูลค่าปัจจุบัน


ซึ่งใช้การประยุกต์สูตรอนุกรมเรขาคณิตเหมือนในสูตรในสมการที่ (4) นั่นคือ มูลค่าปัจจุบันของเงินรายงวดกรณีจ่ายต้นงวดเท่ากับ

PV=PMT+PMT(1+I)+PMT(1+I)2+...+PMT(1+I)N2+PMT(1+I)N1

PV=PMT(1(1+I)N1)(1(1+I)1)

PV=PMT[1I1I(1+I)N](1+I)

ซึ่งจะคล้ายกับข้อ 2.1 คือ สำหรับ 0<I<,  มูลค่าปัจจุบันของเงินรายงวดแบบต้นงวดจะมากกว่าแบบปลายงวดเท่ากับ 1+I  เท่าเสมอ 


        สำหรับบทความตอนที่ 2 นี้ นักศึกษาจะพบปัญหาที่ชัดเจนสองข้อสำหรับการเรียนเรื่องมูลค่าของเงินตามเวลาแบบใช้สูตรคือ ข้อแรก การแทนค่าตัวแปรโดยการกดเครื่องคิดเลขทำได้ยากและเสี่ยงต่อการคำนวณผิด และข้อที่สองคือ ไม่มีสูตรสำหรับการหา I (เรียกว่า อัตราคิดลด หรืออัตราดอกเบี้ย หรืออัตราผลตอบแทน ขึ้นกับว่ากำลังพูดถึงหลักทรัพย์ประเภทใด) เพราะเป็นการแก้สมการพหุนามกำลัง N ดังนั้นเวลาที่ผู้เขียนสอนหนังสือจึงพยายามเน้นให้นักศึกษาเห็นถึงข้อเสียดังกล่าวของการไม่ใช้เครื่องคิดเลขทางการเงิน (เพราะอาจารย์หลายท่านเห็นว่าไม่จำเป็น) และทำให้นักศึกษาเสียเปรียบนักศึกษาที่อื่นที่ได้ทำโจทย์ที่ซับซ้อนและประยุกต์ใช้งานได้มากกว่านี้

ผู้เขียนจัดทำบทความนี้ขึ้นมาเพื่อให้นักศึกษาด้านการเงิน การลงทุนได้ค้นคว้าต่อ เนื่องจากเนื้อหาวิชา “การเงินธุรกิจ” หรือ “การจัดการการเงิน” หรือ “การบริหารการเงิน” มีเนื้อหามากจนไม่มีเวลาได้อธิบายเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหรือวิธีพิสูจน์สูตรบางสูตรในห้องเรียนได้ ในบทความถัดๆไป  ผู้เขียนจะพยายามพิสูจน์หาที่มาของสูตรพื้นฐานอื่นๆของวิชาทางการเงินอีก โปรดติดตามอ่านต่อนะครับ และช่วยแสดงความคิดเห็นต่อบทความนี้ด้วยนะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทำไมสูตรการคิดดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง (Continuous Compounding) ต้องมีตัว e หรือ exponential: วิธีพิสูจน์

วิธีพิสูจน์สูตรต่างๆในเรื่องมูลค่าเงินตามเวลา (Time Value of Money: TVM) ตอนที่ 1 กระแสเงินสดงวดเดียว