ทำไมสูตรการคิดดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง (Continuous Compounding) ต้องมีตัว e หรือ exponential: วิธีพิสูจน์
มูลค่าเงินตามเวลา กับอัตราดอกเบี้ย (Time Value of Money and Interest Rates)
เนื่องจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินล้วนอาศัยพื้นฐานความรู้ของการคิด “มูลค่าเงินตามเวลา (Time Value of Money)” โดยมีข้อตกลงร่วมกันคือการใช้ การคิดอัตราดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอก (Compounding Interest) สำหรับการเรียนการสอนวิชาการเงิน การลงทุน ซึ่งถ้าหากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยไม่ลืมสอนหรือต้องการปูพื้นฐานต่อไปยังการประเมินมูลค่าตราสารอนุพันธ์ นักศึกษาก็จะได้เรียนการคิดดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอกแยกย่อยไปอีกสองแบบคือ การคิดอัตราดอกเบี้ยแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Compounding Interest) และการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง (Continuous Compounding Interest) โดยทั่วไปตราสารทางการเงินมักมีการคิดดอกเบี้ยแบบไม่ต่อเนื่อง และแม้ว่าในความเป็นจริงแทบจะหาตราสารทางการเงินที่จ่ายดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง ไม่ได้เลย แต่เราก็ยังต้องเรียนการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่องอยู่เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อในเชิงคณิตศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราสารอนุพันธ์ที่มูลค่าของมันถูกกำหนดจากมูลค่าของสินทรัพย์อื่น
วิธีคิดอัตราดอกเบี้ยแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Compounding)
ใช้ (1+อัตราดอกเบี้ย) ยกกำลัง
หากไม่มีการกำหนดเป็นอย่างอื่น การคิดอัตราดอกเบี้ยจะหมายถึงการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอกแบบรายปี (per annum) เสมอ ดังนั้นถ้าตราสารทางการเงินมีการจ่ายดอกเบี้ยที่มากกว่าปีละหนึ่งครั้ง การคิดดอกเบี้ยแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Compounding) จึงต้องทำการแปลงเป็นการจ่ายต่องวดแทน เช่น กำหนดให้อัตราดอกเบี้ย (r )เท่ากับ 10% จ่ายดอกเบี้ยทุกหกเดือน (ความถี่ในการจ่ายดอกเบี้ยต่อปีหรือ m=2 ) สำหรับเงินลงทุนจำนวน 1,000 บาท (PV ) มูลค่าอนาคตในอีก 1 ปี ข้างหน้า (t) คำนวณได้จาก
FV1=PV×(1+rm)mt=1,000×(1+0.102)2=1,102.5 บาท
ตัวอย่างของการคิดดอกเบี้ยแบบไม่ต่อเนื่อง เช่น การฝากเงิน การกู้เงิน การจ่ายดอกเบี้ยของตราสารหนี้ หรือการคำนวณหามูลค่าของตราสารทางการเงินโดยส่วนใหญ่ ในประเด็นเรื่องความถี่ในการจ่ายดอกเบี้ยต่อปีมีข้อสังเกตสำคัญคือ ยิ่งมีความถี่ในการจ่ายดอกเบี้ยมาก มูลค่าเงินในอนาคตก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
วิธีอัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง (Continuous Compounding)
ใช้ exponential ยกกำลัง
จากตัวอย่างเดิมในย่อหน้าที่แล้ว ถ้าเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย 10% เป็นแบบต่อเนื่อง มูลค่าอนาคตในอีก 1 ปีข้างหน้าหรือ
FV1=PV×ert=1,000×e0.10×1=1,105.17 บาท
พออธิบายถึงจุดนี้แล้วอาจารย์ของเราก็มักจะข้ามไปสอนเรื่องอื่นต่อ และทิ้งคำถามไว้ให้นักศึกษาถามตัวเองต่อว่า ทำไมสูตรในการคำนวณจึงเปลี่ยนจาก 1+อัตราดอกเบี้ย ไปเป็นตัวเอ็กซ์โปเนนเชียล (exponential base หรือ e)
วิธีพิสูจน์
ทำไมต้องมี exponential
ส่วนการพิสูจน์ว่าทำไม F{{V}_{t}}=PV\times {{e}^{rt}} ผู้เขียนขอเริ่มจากแนวคิดที่ว่าการคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกแบบต่อเนื่องก็คือ การดอกเบี้ยแบบไม่ต่อเนื่องที่มีความถี่ในการจ่ายดอกเบี้ยต่อปีสูงมาก (m\to \infty ) ดังนั้นมูลค่าของการคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกแบบต่อเนื่องคือ \underset{m\to \infty }{\mathop{\lim }}\,{{\left( 1+\frac{r}{m} \right)}^{m}} สมมุติตัวแปร x=\frac{m}{r} ดังนั้น \frac{r}{m}=\frac{1}{x} และ m=rx จะได้ว่า {{\left( 1+\frac{r}{m} \right)}^{m}}={{\left( 1+\frac{1}{x} \right)}^{rx}} Take limit m\to \infty , สำหรับ 0 < r < \infty , \underset{m\to \infty }{\mathop{\lim }}\,{{\left( 1+\frac{r}{m} \right)}^{m}}=\underset{x\to \infty }{\mathop{\lim }}\,{{\left( 1+\frac{1}{x} \right)}^{{{r}}x}}={{\left( \underset{x\to \infty }{\mathop{\lim }}\,{{\left( 1+\frac{1}{x} \right)}^{x}} \right)}^{r}}={{e}^{r}} ดังนั้นสำหรับการลงทุนด้วยเงินเริ่มต้น PV บาทเป็นเวลา t ปี จะได้ว่า F{{V}_{t}}=PV\times {{e}^{rt}}. ซึ่งเป็นสูตรที่เราใช้กันทั่วไป
หายสงสัยสักที ขอบคุณครับ
ตอบลบ